ตาดูดาว เท้าติดดิน ตอนที่ 7 เสาร์ที่ 10 กย. 48 มงฟอร์ต
อย่างไรก็ตาม บราเดอร์ที่มงฟอร์ตก็รับผมเข้า พร้อมให้สัญญาปลอบใจว่า -ถ้าเธอเรียนได้เกิน 70 เปอร์เซ็นต์ในปีแรก บราเดอร์จะพาสชั้นให้เธอ - ผมก็เก็บเอาคำมั่นนั้นมาเป็นแรงฮึด เทอมแรกผมทำได้แค่ 57 เปอร์เซ็นต์ เพราะคะแนนภาษาอังกฤษต่ำ พอสอบไล่ผมกวดได้ถึง 75 เปอร์เซนต์แต่ไม่มีการพาสชั้นตามที่คุยเอาไว้ย่าผมดูจะเข้าอกเข้าใจผมดี ย่าพยายามดันลูกฮึดของหลานเป็นไปอย่างต่อเนื่อง โดยเอารางวัลมาล่อผม ขึ้นชั้น ป.4 ย่าก็เรียกผมมาถามว่า - ถ้าลูกได้คะแนนดีปีนี้ ย่าจะให้รางวัล อยากได้อะไร --ผมอยากไปเที่ยวกรุงเทพฯ- นั่นเป็นความใฝ่ฝันของเด็กบ้านนอกทุกๆคน - ถ้าผมสอบได้เลขตัวเดียว ย่าพาผมไปนะ -- ไม่เอาต้องสอบได้เกิน 80 เปอร์เซ็นต์ --ได้ครับ- ผมตอบอย่างมั่นใจปีนั้นเป็นปี 2502 ผมอายุ 10 ขวบพอดี ผมได้รับรางวัลเรียนดีเป็นครั้งแรก นั่นคือการไปเที่ยวกรุงเทพฯ ตามข้อตกลงกับย่า แถมด้วยโปรแกรมทัวร์ ไร่สัปปะรดที่เขาสามร้อยยอด หัวหิน และพัทยา เป็นอภินันทนาการจากพ่อวันนั้น แดดร้อนจัด ใบแหลมยาวเป็นพุ่มของต้นสับปะรดแปรจากสีเขียวเป็นสีเหลืองจัด ต้านสับปะรดที่เรียงติดกันถี่ยิบยาวเหยียดลิบตา เปลี่ยนพื้นดินเบื้องหน้าให้กลายเป็นทะเลซึ่งมีลูกสับปะรดนับพันซ่อนตัวอยู่เบื้องล่างผมกับจิ๋ว หรือพิทักษ์ ธวัชชัยนันท์ ลูกของคุณอาสุพจน์ ธวัชชัยนันท์ ซึ่งสนิทสนมกับพ่อจากการขายแทร็กเตอร์ให้พ่อไปใช้ในสวนส้ม พากันวิ่งตะลุยดงสับปะรดอย่างสนุกสนาน ทั้งที่นุ่งกางเกงขาสั้น หนีบรองเท้าแตะพื้นยางบางๆ เสี่ยงคมใบ พวกเราก็ไม่ย่อ พากันงุดๆหาสับปะรดที่ตัวเองคิดว่าลูกโตที่สุดหมายไปอวดคนที่บ้านตามคำอนุญาตของลุงเจ้าของไร่
คุณลุงเจ้าของไร่สับปะรดที่สามร้อยยอดนี้เป็นลูกค้าของคุณอาขายแทร็กเตอร์เหมือนกัน เห็นบอกพ่อว่า คุณอาสุพจน์เขามีลูกชายอายุไล่เลี่ยกับผม อยากให้เนเพื่อนกันไว้ จึงชวนพ่อมาเที่ยวไร่ โดยคุณอาสุพจน์ลงแรงไปรับเราจากสถานนีหัวลำโพง ขับรถมาเที่ยวที่นี่ ก่อนตระเวนหัวหิน ศรีราชาต่อ แล้วไปส่งพวกเราที่บ้านป้าเข็มทองตรงซอยประสานมิตรน่าแปลกที่ความทรงจำถึงทัวร์ทางไกลต่างถิ่นครั้งแรกของผม เรื่องราวของกรุงเทพฯ แดนสิวิไลซ์กลับเรือนไป แต่ความเบิบานในไร่สับปะรดยังแจ่มชัดอยู่เสมอคงเพราะลึกๆแล้วผมชื่นชอบบรรยากาศปลอดโปร่ง ไม่มีขอบเขตแบบธรรมชาติมากกว่า และในช่วงเวลาเดียวกันนั้น ผมก็กำลังเพลิดเพลินกับสวนส้มของเราที่สันกำแพง ที่นั่นเป็นเสมือนสนามผจญภัยกว้างใหญ่เช่นเดียวกับไร่สับปะรด ท่ามกลางดกส้มสีขาวกระจิริดกลิ่นหอมอวล ผมมักสนุกกับการช่วยคุณลุง คุณอาที่มารับจ้างทำสวนของเรา จับกบ ตกปลา ซึ่งจะถูกจัดเป็นมื้อกลางวันของเราในบางวันว่าง ผมก็ชอบปั่นจักรยานไปเที่ยวตามภูตามถ้ำต่างๆกับเพื่อน โปรดปรานสุดคือขี่จักรยานไปเรื่อยๆ จากสันกำแพงไปถึงถ้ำขี้นก ถ้าถนนไปไม่ได้ก็ลากอุ้มจักรยานข้ามทุ่งมันไปเลย ผมจะพกก๋วยเตี๋ยวติดตัวไปห่อหนึ่ง ไปนั่งกินกันหน้าปากถ้ำพร้อมทิวทัศน์จากที่สูง เท่านี้ก็อยู่ได้เป็นวัน ผมชอบการผจญภัยแบบนี้มากคิดย้อนไปแล้ว การเป็นเด็กบ้านนอกนี่มีความสุขมากทีเดียว เป็นความสุขใกล้ตัว ไม่ต้องเสียเงินทองแสวงหา ถือเป็นการ - ได้โอกาส - ไม่ใช่ด้อยโอกาสอย่างเขาว่ากัน แล้วความจริงการที่ผมได้เกิดและเติบโตในชนบทมากว่า 10 ปี แม้จะไม่ใช่ลูกชาวนายากไร้อดอยาก แต่พ่อแม่ก็เลี้ยงมาอย่างติดดิน จึงทำให้ผมสำนึกเข้าถึงชีวิตชาวบ้านมากทีเดียว
ตาดูดาว เท้าติดดิน ตอนที่ 8 เสาร์ที่ 15 ตค. 48 วัยรุ่น
การเป็นเด็กบ้านนอกยัง - ได้โอกาส - ที่คนไม่ค่อยคิดถึงอีกด้านหนึ่งคือ ได้โอกาสปลอดภัยจากสิ่งแวดล้อมอันยั่วยวนให้หลงผิดช่วงย่างวัยรุ่น อายุ 11-12 ปี ผมโชคดีที่ได้เติบโตแบบเด็กบ้านนอกมาก เพราะโลกของเด็กหนุ่มรุ่นผม มีแค่การเรียน กีฬา แล้วก็ช่วยพ่อแม่ทำงาน เท่านั้น ไม่มีแหล่งเริงรมย์มั่วสุม ไม่รู้จักยาเสพติดไม่มีแม้กระทั่งทีวีให้ดูเพราะยังรับไม่ได้ ก็มีแต่ละครวิทยุ ตอนนั้นคณะและนักพากย์ยอดฮิตต้องยกให้ละครผาสุก รัตนารมย์ วิเชียร นีลิกานนท์ รัชนี จันทรังษี เรื่องยอดนิยม คือเรื่องสลักจิตทั้งเมืองมีแต่ชื่อ อาเดียว เสียงทุ้มๆของอาเดียว พอบ้านนี้โฆษณาคั่น เดินไปอีกบ้าน อาเดียวก็มาอีกแล้ว
แต่พวกรุ่นกระทงอย่างผมไม่มีใครฝันอยากเป็นพระเอกแก่อย่างอาเดียวหรอก เก๋ไก๋ที่สุดของเราคือ ฟังเพลงของเอลวิส คลิฟฟ์ ริชารด์ ผมมีที่เล่นแผ่นเสียงแบบ pick up หิ้วได้อยู่เครื่อง ก็หอบเจ้าเครื่องนี้ ไปฟังกับเพื่อนแถวเนินเขา หรือในสวนบ่อยๆ ส่วนใครอยากโก้ก็หัดเล่นกีตาร์มาครวญกับเสียงเพลงสำหรับเรื่องเกเรที่สุดของผมคงเป็นแค่การเล่นเลี๊ยบตุ่ย ไพ่ป็ก ซึ่งต้องแอบผู้ใหญ่ไปปูเสื่อเล่นตามคูแห้งลึกๆ แล้วเล่นกันแบบเด็ก กินกันสลึง สองสลึงเท่านั้น โตขึ้นยิ่งไม่ค่อยกล้า เพราะประจักษ์ว่า เงินทองหามายาก ผมจำได้ว่า เคยไปเที่ยวที่ มิลาจช์ ลาสเวกัส เห็นคนไทยแทงทีเป็นหมื่นเหรียญ ผมเองอาจเล่นได้ขนาดนั้น แต่ยังปอดไม่กล้าเลยอายุย่าง 16 ผมย้ายจากสันกำแพงไปอยู่อำเภอเมือง ชีวิตวัยรุ่นก็ไม่ได้หวือหวาไปกว่าเดิม แม้จะอยู่เมืองใหญ่ที่กำลังเจริญ เพราะสิ่งเย้ายวนต่างๆ ยังไปไม่ถึง ประกอบกับเพื่อนสนิทส่วนใหญ่อยู่สันกำแพง ผมจึงใช้เวลาว่างไปกับการช่วยธุรกิจของพ่อมากกว่า
จะมีวีรกรรมชายหนุ่มแค่เรื่องเดียวเท่านั้น คือ แอบเอารถจากศูนย์บีเอ็มของพ่อไปขับอวดสาว ชนหินเข้าตูมจนท้องรถฉีก ด้วยความกลัวพ่อจะดุ ผมเห็นพรมท้องรถยังไม่ขาดเลยให้พรรคพวกไปทุบๆปะกลบเกลื่อนเสีย คดีนี้นานเป็นปีกว่าผมจะกล้าสารภาพกับพ่อแต่นั่นก็แค่โชว์สาวเท่านั้น ผมไม่ใช่นักจีบผู้หญิง และเอาเข้าจริงก็ขัดเขิน เข้ากับผู้หญิงไม่ค่อยเป็น ซึ่งไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อ ว่าความไม่คุ้นกับเพศตรงข้ามนี้จะมากจนส่งอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงอนาคตของผมเรื่องเกิดขึ้นเมื่อผมจบ ม.ศ. 3 ลงไปกรุงเทพฯ เพื่อเรียนกวดวิชาสอบเข้าเตรียมอุดมตามความตั้งใจว่าจะต่อมหาวิทยาลัย ตอนนั้น A.C.C. หรือ Assumption Commerce กำลังดังมาก คนแห่กันไปสอบ เพื่อนผมก็มาชวน แต่ตอนนั้นใจผมไม่อยากคิดเป็นพ่อค้าหรือนักธุรกิจเลย อาชีพแรกที่ผมใฝ่ฝันคือ วิศวกรโยธา คุมงานก่อสร้าง ตามรอยอาสุเจตน์น้องชายคนแรกของพ่อที่จบปริญญาตรี ผมเคยตามพ่อซึ่งไปช่วยอาสุรพันธ์คุมงานแล้วรู้สึกทึ่งมาก ผสมกับใจรักคณิตศาสตร์เป็นทุน และเรียนดีมาตลอด อยู่มงฟอร์ตสอบได้ไม่เคยเกินที่สาม ผมจึงคิดว่าน่าจะสอบเข้าคณะวิศวะจุฬาฯได้
แต่แล้วผมกลับมาตายน้ำตื้น- เฮ้ย กูอึดอัดว่ะ ไม่อยากเรียนแล้ว - ผมบ่นกับเพื่อนที่มาจากเชียงใหม่ด้วยกัน หลังจากเรียนกวดวิชาได้พักหนึ่ง- ทำไมวะ - - กูไม่เคยเรียนกับผู้หญิง ไม่คุ้น แล้วก็ไม่ชอบด้วย ผู้หญิงฉอเลาะอาจารย์เหลือเกิน กูทำไม่เป็ฯ -- งั้นมึงก็ไปสอบที่เขาเรียนกับผู้ชายล้วนซีวะ เตรียมทหารมั๊ย ผู้ชายหมดแน่ -ผมเห็นว่าเข้าท่าเลยไปซื้อใบสมัครกับเพื่อนที่เตรียมทหาร ไปถึงที่นั่นเห็นนักเรียนเตรียมทหารวิ่งผ่าน ยิ่งรู้สึกว่าช่างองอาจจริง แล้วพอหัวหน้าบอกแถวตรง ทุกคนทำได้พร้อมเพรียง จินตนาการผมยิ่งเพริดใหญ่ คิดถึงตัวเองในชุดฝึก เสื้อยืดคอกลมสีขาวแขนสั้น กางเกงขายาวสีกากีแกมเขียว- โอ้โฮ โก้เว้ย - ผมคิดในใจ ถ้าผมสอบเข้าได้คงเท่แบบนี้เหมือนกัน แวบนั้นเองที่ผมเปลี่ยนใจ ถอยวิสวะไปเก็บไว้ แล้วมุ่งหน้าสู่เตรียมทหารแทนผมผ่านข้อเขียนเข้าเตรียมทหารได้ แต่โชคร้านดันไปตกตรวจโรค ซึ่งเป็ยสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นเลย ทางเตรียมทหารแจ้งว่าปอดผมมีจุด ผมงงมากกังวลไปสารพัด หรือเพราะว่าเราไปช่วยพ่อทำรถเมล์ ตอนเช้ารถเมล์มันอุ่นเครื่อง สงสัยจะโดนควันนั่นกระมัง ผมหลงกินยารักษาโรคปอดอยู่เกือบปี ไปเอ็กเรย์กครั้งไม่พบจุดดำนั่น ถึงได้มั่นใจว่าเป็นเงากระดูกมากกว่า มันคงผิดพลาดลวงตาเพราะเครื่องฉายนั้นเป็นเครื่องฉายแบบติดรถ และเก่ามากด้วยการพลาดเตรียมทหารหลอกหลอนผมตลอดทั้งปี แม้ว่าผมกลับมาเรียน ม.ศ.4 ที่มงฟอร์ต สอบไล่ได้ถึง 85 เปอร์เซ็นต์ จะเรียนต่อรอสอบเอ็นทรานซ์ก็มีโอกาสสูง แต่นิสัยไม่ยอมแพ้ ทำให้ผมฝังใจต่อการเรียนเตรียมทหารรัดแน่นขึ้น จนในที่สุดผมยอมเสียเวลาหนึ่งปี สอบเข้ากครั้ง และก็ผ่านตลอดดังคาดไว้ด้วยเหตุนี้เอง ผมจึงต้องเก็บข้าวของเพื่อจากบ้านครั้งยาวนานที่สุด จบชีวิตเด็กบ้านนอก มาเข้ากรุง เพื่อเรียนต่อในเส้นทางที่ไม่ได้วาดหวังไว้ในตอนแรก