ตอนที่ 5-6




ตาดูดาวเท้าติดดิน ตอนที่ 5 เด็กบ้านนอก

บทที่ 2 เด็กบ้านนอกการที่ผมได้เกิดและเติบโตในชนบทมากว่า 10 ปี แม้จะไม่ใช่ลูกชาวนายากไร้อดอยาก แต่พ่อแม่ก็เลี้ยงมาอย่างติดดิน จึงทำให้ผมสำนึกเข้าถึงชีวิตชาวบ้านมากทีเดียว*ทักษิณ ไหนลองหาร 124 ด้วย 8ซิ* หญิงสูงวัยว่าพลางเคี้ยวหมากหยับๆมือขวาหยิบชอล์คเขียนตัวเลขลงบนแผ่นกระดานที่วางบนตักเด็กชายวัย 3 ขวบรูปร่างเก้งก้าง ใบหน้าแป้น ผิวขาวอย่างคนเหนือวิ่งมาทันทีที่ได้ยินชื่อตัวเอง คลานอย่างรวดเร็วมานั่งพับเพียบใกล้ๆแก ชะเง้อมองกระดานแล้วคิดในใจ* เอ้าไวๆเข้าสิ * ครูส่งเสียงดุ จากนั้นก็หยิบไม้เรียวข้างกายขึ้นมาเจ้าหนูเห็นเข้าดังนั้นก็เสียววาบ กลัวจะโดนสักป้าบสองป้าบ สมองคำนวณขนานใหญ่* ..เท่าไหร่นะ 8 หนึ่ง 8 เหลือเศษ 4 เป็น 44 หาร 8 ได้ 5..อ๊ะ..ยังเหลืออีก 4 ..*แต่ไม่ทันเสียแล้ว ครูหวดไม้ลงไปหลายที ปัง..ปัง..ปัง..ปัง..หนูน้อยเกร็งตัวรับ แต่ปรากฏว่าไม้เจ้ากรรมนั่นดันซัดลงบนพื้น เพื่อสยบเสียงเจี๊ยวจ๊าวรอบข้างทักษิณถอนหายใจโล่งอก เขียนตัวเลขลงบนกระดานทันที* เออ ดีมาก ไหนลองอีกข้อซิ หารยาวนะ * ดูเหมือนครูควายจะอารมณ์ดีขึ้น แต่มือยังกระชับไม้เรียวมั่นถ้าจะเรียกที่นี่ว่าโรงเรียนนุบาลคงไม่ถูกต้องนัก เพราะมันเป็นเพียงศาลาวัดที่ไม่มีแม้กระดานฝากั้นห้อง กระดานดำใหญ่ หรือโต๊ะเก้าอี้นักเรียน เป็นห้องโปร่งโล่ง ลมโกรกสบาย ใครไปใครมามองเห็นกันหมด แล้วเวลาเผลอ เจ้าพวกตัวเล็กก็จะวิ่งซนออกไปนอกศาลา บางครั๊งครูควายก็ต้องลุกขึ้นมาไล่ต้อนหรือส่งเสียงปรามบ้างการศึกษาของผมเริ่มต้นที่ชั้นอนุบาลในวัดหลังตลาดสันกำแพงแห่งนี้ โดยมีครูควายเป็นผู้ประสิทธ์ประสาทวิชาเป็นคนแรกด้วยการเรียนการสอนแบบที่เรียกว่า * เด็กบ้านนอก * ขนานแท้เลยทีเดียว

ครูควายเป็นความทรงจำพิเศษของผม แกเป็นหญิงวัยกลางคน แต่ด้วยความที่เคี้ยวหมาก นุ่งผ้าถุง เกล้ามวย แถมยังดุ จึงทำให้ผมรู้สึกว่า ครูควายแก่และขลังมาก แต่ผมก็รักและชื่นชมครูควาย เพราะแกสอนหนังสือเก่ง ทั้งที่ความจริงแล้วครูควายไม่มีวุฒิหรือจบครูมา แกเป็นแค่หนึ่งในผู้ศรัทธาธรรมซึ่งมาอาศัยข้าวก้นบาตรพระและช่วยล้างปิ่นโต รวมทั้งอาสาสอนหนังสือเด็กเล็กลูกชาวบ้านในละแวกเพื่อแทนคุณวัดการเรียนการสอนของครูควายไม่เหมือนใคร อุปกรณ์มีเพียงไม้กระดานแผ่นเดียว ชอลก์ และไม้เรียวคู่ใจ วิธีการก็แสนง่าย แกจะนั่งกับพื้นศาลา วางไม้กระดานไว้บนตัก แล้วเรียกเด็กเข้ามาสอนทีละคน ว่ากันไปตั้งแต่ภาษาไทย ก. ไก่ ข. ไข่ ไปจนถึงวิชาเลขคณิต ถ้าเด็กที่เหลือส่งเสียงรบกวน แกจะใช้ไม้เรียวฟาดพื้นเพื่อสยบ

ตาดูดาว เท้าติดดิน ตอนที่ 6 เสาร์ที่ 20 สค.48 ครูควาย

หลักสูตรของครูไม่มีอะไรเป็นมาตราฐาน ขึ้นอยู่กับความสามารถของเด็กแต่ละคน ใครอ่าน ก.ไก่ถึงฮ.นกฮูกได้แล้ว ก็ผสมตัวสะกดลงไปเลย ใครบวกเลขได้ก็เรียนคูณหารต่อไป และถ้าใครตอบคำถามแกได้ดี ครูควายก็พอใจจะสอนนานเป็นพิเศษผมชอบวิธีกับหลักสูตรลูกทุ่งของแกมาก เพราะเป็นการสอนตามธรรมชาติของเด็กแต่ละคนโดยไม่ยัดเยียด ผมจึงเรียนได้รวดเร็ว โดยเฉพาะวิชาคณิตศาสตร์ และยิ่งผมมี - ติวเตอร์ - ส่วนตัวอีกหลายคน ความสามารถด้านนี้ก็ยิ่งรุดไปไกล ทำให้ผมสามารถหารยาวซึ่งเป็นความรู้ของเด็กประถม 2 - 3 ได้ตั้งแต่จบอนุบาลติวเตอร์ที่ว่านี้ ผมจำชื่อไม่ได้ เพราะเป็นลุงป้าน้าอา ลูกค้าร้านกาแฟที่สัญจรไปมา วิธีติวเข้าของพวกเขาก็เป็นธรรมชาติเช่นของครูควาย- ทักษิณ สมมุติลุงให้ตังค์ 10 บาท วานทักษิณไปซื้อไข่ไก่ 3 ฟอง ทักษิณจะต้องเอาตังค์มาทอนลุงเท่าไหร่ - ลุงข้างบ้านถามเสร็จก็หัวร่อยั่วผมพอรู้กันว่าผมเป็นคนคิดเลขเก่ง พวกผู้ให่ญที่เห็นการทายปริศนาทำนองนี้เป็นเรื่องสนุก และเมื่อตอบคนหนึ่งเสร็จ ก็มีปุจฉาจากคนอื่นๆต่อ- ทักษิณ ถ้าป้าซื้อโอเลี้ยงพ่อ 2 แก้ว ซื้อขนุนแม่ 2 ถุง ป้าต้องจ่ายเงินเท่าไหร่ - ป้าแม่ค้าในตลาดแหย่บ้าง แล้งยังหยอดลูกอำด้วยว่า - ระวังนะ คิดผิดขาดทุนนะ -

ความเป็นเด็กทำให้หลายคราวผมจริงจังเหมือนกัน คิดเคร่งเครียดเป็นเรื่องเป็นราวกลัวพ่อแม่จะขาดทุน แต่บ่อยครั้งผมไม่ชอบตอบผิด เพราะไม่ชอบแพ้ใคร ทำให้ผู้ใหญ่ยิ่งอยากตั้งโจทย์ยากขึ้นเรื่อยๆ ผลก็คือ ผมกลายเป็นคนคิดเลขรวมไปถึงเรื่องอื่นๆได้ค่อนข้างเร็วใครว่าเด็กบ้านนอกสมองช้ากว่าคนกรุง ผมได้พิสูจน์แล้วว่าไม่จริง ผมก้าวไปทำธุรกิจคอมพิวเตอร์และดาวเทียมได้ในวันนี้ ส่วนหนึ่งต้องยกเครดิตของครูควายกับติวเตอร์ชาวสันกำแพง ผู้สร้างรากฐานด้านคณิตศาสตร์ให้ผมแบบวิธีบ้านนอกนี่ละแต่ความไม่เท่าเทียมบางด้าน ระหว่างชนบทกับเมืองที่เจริญแล้วมีอยู่จริงผมตระหนักถึงข้อนี้ เมือจาครูควายเข้ามาเรียนชั้น ป.1 ที่โรงเรียนประชาบาลของสันกำแพง จนจบ ป.3 พ่อกับแม่ผมคิดว่า ควรให้ลูกเรียนภาษาอังกฤษตั้งแต่เล็กทัดเทียมกับเด็กในเมือง จึงย้ายผมไปต่อชั้น ป.4 ที่มงฟอร์ตซึ่งเป็นโรงเรียนคาทอลิกในอำเภอเมือง ทันสมัยและมีชื่อเสียงเรื่องมาตราฐานการเรียนการสอนสูงมากแต่ผมกลับถูกบังคับให้ซ้ำชั้น ป.3 บราเดอร์กลัวผมไม่ทันเพื่อน ประจวบกับช่วงนั้น มีเด็กนามสกุลชินวัตรสองคนสอบตกทั้งคู่ ทางโรงเรียนเลยฝังใจว่าพวกชินวัตรนี้คงหัวขี้เลื่อยเหมืนกันหมด ไม่เปิดโอกาสให้ผมทดลอง แม้พ่อกับแม่จะส่งผมไปเรียนภาษาอังกฤษเพิ่มเติมก็ตาม

ความจริงผมมั่นใจว่าบราเดอร์ปราถนาดี หวังให้พื้นฐานผมแน่น แต่ตามประสาเด็กที่มีผลการเรียนดีมาตลอด โดยเฉพาะเลขคณิตนั้น นำหน้าเพื่อนร่วมรุ่นไปหลายช่วงแล้ว การมาเรียนซ้ำชั้นนอกจากจะทำให้ผมอาย ยังทำให้ผมรู้สึกว่าถูกลงโทษโดยไม่มีโอกาศอุทธรณ์ ฎีกา เพียงเพราะความไม่เท่าเทียมกันในระบบการศึกษาด้วยเหตุนี้เอง เมื่อผมมีโครงการดาวเทียมไทยคม ผมจึงคิดที่จะใช้ให้เกิดประโยชน์ด้านการศึกษา ถมช่องว่างระหว่างเด็กในเมืองกับชนบท และผมก็เลือกโรงเรียนประชาบาลสันกำแพงท่ผมไม่ได้เรียนภาษาอังกฤษ เป็นศูนย์ของเชียงใหม่