ตาดูดาว เท้าติดดิน ตอนที่ 11 เสาร์ที่ 28 มค. 49 ชีวิตนักเรียนนายร้อยตำรวจ
หน้าที่ตำรวจอาจดูสบายกว่าทหารที่ออกรบ แต่ความจริงแล้ว การเรียนตำรวจหนักไม่น้อยกว่าการเรียนทหารเลยหลักสูตรนายร้อยตำรวจเกิดขึ้นในปี 2477 จากความคิดของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ขณะเป็นรองผูบัญชาการทหารบก กับ พ.ต.อ. หลวงอดุลเดชจรัส อธิบดีกรมตำรวจในยุคนั้น ด้วยความมุ่งหมายว่า การปฏิบัติงานของตำรวจสมบุกสมบัน ต้องใช้ความรู้ของทหารหลายด้าน และเพื่อความสามัคคีระหว่างทหารกับตำรวจนักเรียนนายร้อยตำรวจจึงต้องถูกเคี่ยวทั้งบุ๋นและบู๊ในหลากหลายสาขาวิชา เนื้อหาหลักสูตรแบ่งออกได้สี่ส่วนใหญ่ๆ ส่วนแรกคือวิชาเกี่ยวกับกฏหมาย ทั้งอาญา แพ่ง พ.ร.บ. ต่างๆ ส่วนที่สอง วิชาพื้นฐานทั่วไป เหมือนกับมหาวิทยาลัย เช่นจิตวิทยา สังคมวิทยา ฌศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ ฯลฯ ส่วนที่สาม วิชาด้านตำรวจโดยตรง อาทิ การสืบสวน สอบสวน การป้องกันปราบปราม การพิสูจน์หลักฐานด้วยเครื่องมือวิทยาศาสตร์ เรียนกระทั่งการถ่ายรูป ล้างฟิลม์ อัดภาพ ต้องทำเองหมดทุกอย่าง และส่วนที่สี่สุดทรหดคือฝึกภาคสนาม รวมทั้งหมด 200 หน่วยกิต มากกว่าระดับปริญญาตรี 50 หน่วย
ในปีแรกผมยอมรับว่าเหนื่อยหน่ายการท่องจำวิชาประเภทกฏหมายกับวิชาพื้นฐานเหลือเกิน ผมร้สึกว่าไม่สร้างสรรค์เลย คณิตศาสตร์ที่รัก ไม่ต้องพูดถึงเลย คณิตสาสตร์เหลือแค่การเก็บค่าเครื่องแบบ ค่ากระบี่ ไปจ้างเจ๊กตัดเสื้อ ตามหน้าที่หัวหน้าห้องใจผมเริ่มไม่อยู่กับนายร้อยตำรวจ ทุรนทุรายหาทางออกไปที่อื่น อันที่จริงก่อนหน้านี้ผมเคยคิดจะย้ายเหล่าเมื่อมีการเปิดเหล่าใหม่ คือ เหล่าหมอในปีถัดมา แต่พ่อไม่เห็นด้วย พ่อบอกผมว่า *** ไหนๆเรียนมาแล้ว อย่าเสียเวลาเลย***แต่พอเบื่อหนักขึ้นผม็ย้อนกลับไปหาความฝันเดิม ผมขอให้ทาง ก.พ.ติดต่อ เอ็มไอที เพื่อเรียนวิศวะ พ่อผมก็เตือนอีก ***เรียนให้จบเถอะลูก มาถึงขนาดนี้แล้ว***ผมเชื่อพ่อ แล้วได้พบว่า การผ่านโลกมามาก ความใจเย็นเยี่ยงผู้ใหญ่นั้นช่วยประคับประคองอารมณ์ชั่ววูบวัยหนุ่มของเราได้มากจริงๆ หากเราไม่พาล ไม่รั้น หรือฉุดไม่อยู่เสียก่อน เพราะการที่ผมเรียนตำรวจต่อจนจบ นอกจากช่วยเพิ่มเติมความรู้หลากหลายและเสริมแน่นคุณสมบัติที่เรียกกันว่า ***ลูกผู้ชาย*** อันเข้มข้นกว่าสมัยเรียนเตรียมทหารแล้วยังทำให้ผมมีโอกาสพบสิ่งที่ดีงามซึ่งมีคุณค่ามากที่สุดในชีวิตผม1.ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ 2.ตายเสียดีกว่าอยู่อย่างผู้แพ้ 3.ตายเสียดีกว่าละทิ้งหน้าที่***ทางไปสู่เกียรติศักดิ์ จักประดับดอกม้หอมหวลชวนจิตรไซร้ ไป่มี***คำปฏิญาณสามข้อที่ต้องกล่าวทุกวันตั้งแต่เรียนเตรียมทหาร และกรพแสพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวขยายใหญ่ติดไว้ในโรงเรียนนี้เป็นปรัชญาซึ่งผมยึดมั่นและสำนึกเสมอว่า เป็นคุณูปการอันยิ่งใหญ่ที่ได้รับจากชีวิตนักเรียนเตรียมทหารกับนักเรียนนายร้อยตำรวจ
การเปล่งปฏิญาณ การเห็นการอ่านทุกวันอาจเป็นเครื่องตอกย้ำให้ตรึงแน่นในใจ แต่สิ่งที่นำไปสู่แรงศรัทธาและปฏิบัตินั้น หล่อหลอมจากวัฒนธรรมกับวิธีเรียนวิธีฝึกของสถาบันหัวใจของการเป็น ทหาร-ตำรวจ ไม่ว่าจะเป็นความสามัคคี เคารพผู้บังคับบัญชา เสียสละเพื่อชาติและส่วนรวม ฯลฯ ซึ่งถูกปรับและปูพื้นฐานสมัยเรียนเตรียมทหาร จะได้รับการเคี่ยวกรำ เพาะบ่มจนสุกงอมใน 4 ปีขงโรงเรียนนายร้อยนี่เอง
ตาดูดาว เท้าติดดิน ตอนที่ 12 ประธานสโมสรรุ่น / 1 กพ.51
เมื่อเข้าชั้นปีที่ 1 นร.นายร้อยตำรวจ 90 คน จะถูกแบ่งออกเป็น 3 ตอน ตอนละ 30 คน 30 คนนี้จะกิน นอน เรียน ฝึกด้วยกัน ร่วมหัวจมท้ายตลอดกันที่สามพราน นร.นายร้อยตำรวจรุ่นเดียวกับผมก็มี วันชัย ศรีนวลนัด วงกต มณีรินทร์ สุรสิทธ์ สังขพงษ์ เสวก ปิ่นสินชัย จุมพล มั่นหมายเป็นต้นสมัยเรียนเตรียมทหารที่ว่าฝึกหนักแล้ว นายร้อยยิ่งโหดกว่าหลายเท่า เพื่อให้ร่างกายตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา เราต้องตื่นแต่ตี 5 วิ่งจนถึง 7-8 โมง ก่อนแยกย้าทำกิจกรรมของแต่ละกลุ่มปีแรกๆร่างกายของหลายคนจึงรับไม่ไหว เท้าพอง เล็บหลุด นี่เป็นเรื่องปรกติมาก ช่วงนี้เป็นอีกรอบที่จะมีคนถอย อย่างรุ่นผมมีคนหนึ่งเครียดมาก ถึงกับเสียสติจนต้องลาออกไปเลย
การปฏิบัติตัวซึ่งถูกเข้มงวดอยู่แล้วจากกฏเกณฑ์อันเคร่งครัดก็เน้นหมู่เหล่ามากขึ้น ถ้าทำผิดคนเดียวจะโดนลงโทษทั้งหมด ความสามัคคีความร่วมมือของเพื่อนร่วมตอนจึงสำคัญมาก เราต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกันถึงจะผ่าสถานะการณ์ต่างๆไปได้ ดังนั้น ยิ่งถูกกวดขันกดดันมากเท่าไหร่ ความเหนียวแน่นของกลุ่มก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้นผมในฐานะหัวหน้าตอนนี้ ก็ต้องรับศึกหนักสักหน่อย เพราะคราวนี้ การประสานความพอใจ ประสานประโยชน์ระหว่างอาจารย์กับเพื่อนนักเรียนจะยิ่งยากแนวทางแก้ปัญหาของผมก็คือ ทำตัวเป็นตัวอย่าง ถึงลูกตอนอืดอาดอิดออดเพียงไร เราในฐานะหัวหน้าต้องลุยทำให้เห็นก่อนเสมอ ผู้บังคับบัญชาสั่งให้พรวนดินต้นไม้ เราก็ต้องแบบจอบเดินนำหน้าก่อน ไม่ว่าจะมีคนตามมาหรือไม่ จนเพื่อนมันประหลาดใจในความอึดของผม คราวนี้สรรหาคำใหม่มาเรียกอีกว่า ..ตู้..หมายถึงผมมันดุ่ยทำหน้าที่เหลือเกิน แต่ก็เรียกไปอย่างนั้นแหละครับ เพราะประเดี๋ยวในที่สุด พวกเขาก็จะลุกขึ้นมาปฏิบัติตามเอง
แม้จะเคร่งครัดแค่ไหนก็ต้องเอาเพื่อนด้วย ความจริงการเป็นหัวหน้าตอนจะได้รับสิทธิพิเศษบ้างคือ อยู่ดึกได้ จัดเวรได้ สั่งการลูกน้องตอนในระดับหนึ่งได้ แต่ผมไม่นิยมอำนาจ ผมว่าวิธีที่ดีที่สุดคือ ซื้อใจ หรือช่วยเหลือเพื่อนเท่าที่จะทำได้ ไม่ว่าจะให้ลอกการบ้าน การติว หรือจิปาถะอื่นๆต่อมาผมเป็นประธานสโมสรของรุ่น การเกื้อกูลเพื่อนก็ทำได้มากขึ้น เช่น โรงเรียนนายร้อยจะมีการจัดหนังมาฉายให้นักเรียนดูทุกวันพุธ แทนที่จะใช้หนังเดิมๆ ผมจะคอยวิ่งหาหนังดีๆใหม่ๆมาฉายให้เพื่อนดูเสมอ โดยอาศัยประสบการณ์ และสายสัมพันธ์ตั้งแต่ครั้งช่วยดูแลโรงหนังศรีวิศาลช่วยจัดแจงเรื่องเสื้อผ้า อุปกรณ์การเรียน จัดหาเครื่งอใช้จิปาถะมาจำหน่าย โดยรายได้พวกนี้นำมาทำหนังสือรุ่น เนื่องจากตามตำแหน่งของผมสามารถออกนอกโรงเรียนได้ ขณะที่เพื่อนนักเรียนทั่วไปออกไม่ได้การวิ่งรอกไปมาซื้อของนี้เอง เป็นเหตุให้ผมได้รับสมยานามใหม่ว่า ไอ้ตั้ง ซึ่งผมได้ยินครั้งไร จะฉุนทุกที เพราะเพื่อนๆมันดันล้อเลียนผมว่า คล่องเหมือนอาแป๊ะคนหนึ่ง ชื่อ ตั้ง ที่รับจ้างถ่ายรูปในโรงเรียน และเดี๋ยวนี้ถ้ามาเรียกอีก ก็จะโกรธเหมือนเดิม ฉะนั้น ประกาศไว้ตรงนี้เลยว่า อย่าลองดีดีกว่านะโว๊ย เพือ่นเอ๋ย